
วิธีกินเพื่อลดน้ำหนัก กินแบบธงโภชนาการกับกินแบบ 2:1:1 แตกต่างกันอย่างไร
วิธีกินเพื่อลดน้ำหนัก ต้องยอมรับว่าในศักราชนี้เป็นศักราชแห่งการรักษาสุขภาพอย่างแท้จริง รวมถึงการปรับโภชนาการเพื่อการลดน้ำหนักโดยเฉพาะการลดน้ำหนักย่อมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาไม่ว่าจะออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร หรือวิธีกินตามสูตรต่างๆ ที่ช่วยในเรื่องคืนความผอมคืนรูปร่างที่ดี แต่บางทีการเลือกวิธีกินก็ยุ่งยากเกินไปว่าควรกินด้วยวิธีกินแบบไหนเราถึงจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การกินตามธงโภชนาการและการกินแบบ 2:1:1 วิธีกินเพื่อลดน้ำหนัก อย่างไหนดีกว่ากัน
ตามเว็บอื่นๆ มีวิธีกินเพื่อการลดน้ำหนักเยอะมากไม่ว่าจะกินแบบ IF, Ketogenic Diet, Carnivore Diet หรือ Vegetarian Diet (ที่เรียกวิธีกินแบบนี้กันสั้นๆว่าแบบ Vegan) แต่ก็คงไม่พ้นในเรื่องการกินตามธงโภชนาการและการกินแบบ 2:1:1 ในบทความนี้ผู้เขียนจะเปรียบเทียบวิธีกินแต่ละวิธีว่าแบบไหนดีกว่ากัน

- วิธีกินแบบธงโภชนาการ : การกินตามแบบธงโภชนาการจะเป็นวิธีกินเพื่อการลดน้ำหนักที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในธงโภชนาการจะเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวมุมทิ่มลงจะอธิบายเรื่องอาหารแต่ละชนิดจนครบ 5 หมู่ว่าเราควรกินในสัดส่วนใดมีหมู่อะไรบ้าง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และไขมัน
- วิธีนี้มีข้อดีตรงที่สามารถวิเคราะห์อาหารที่กินได้อย่างถูกจุดเทียบอัตราส่วนที่พอเหมาะกับการทานอาหารในแต่ละวันได้อย่างถูกจุดรวมถึงวิเคราะห์ปริมาณพลังงานที่ได้รับละเอียดขึ้น
- ข้อเสียคือเป็นวิธีกินที่ยุ่งยากเกินไปไม่ตอบโจทย์ในกลุ่มคนที่อยากลดน้ำหนักที่ใช้ชีวิตโลกาภิวัฒน์ได้เท่าที่ควรเหมาะกับการทานในช่วงไม่เร่งรีบและไม่สามารถนั่งคำนวณสัดส่วนตามที่ระบุไว้ทั้งหมดจึงทำให้เป็นวิธีกินที่สร้างความยุ่งยากมากกว่า
- วิธีกินแบบ 2:1:1 : เป็นวิธีกินที่นิยมกันมากในปัจจุบัน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง แต่อยากจะลดน้ำหนักแบบไม่ต้องอดหรือตัดปริมาณอาหารมากซึ่งยังมี Fitness Idol หลายคนแนะนำข้อดีของการทานแบบนี้ค่อนข้างเยอะมาก เพราะเราไม่ต้องทำมันให้ยุ่งยาก เสียเวลาที่จะทำอย่างอื่นเลยดูง่ายๆ ในอัตราส่วน 2:1:1 จะประกอบด้วยผักผลไม้ 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วนและเนื้อสัตว์ 1 ส่วน
- ข้อดีของวิธีกินแบบนี้เพื่อลดน้ำหนักคือเราอยากกินอะไรก็ได้โดยไม่ต้องนั่งตวงอัตราส่วนให้ยุ่งยาก เราสามารถเลือกกินของที่ชอบได้มากกว่าในแบบแรกที่ลงรายละเอียดลึกกว่า แบ่งอาหารง่ายว่าจะเลือกกินอันนี้ตรงโจทย์ในกลุ่มที่ทานไม่ตรงเวลากับกลุ่มที่ทำงานแบ่งเป็นกะ แต่ก็อยากดูแลรูปร่างลดน้ำหนักให้ Balance กับการทำงานและชีวิตประจำวันมากกว่าวิธีกินในแบบแรก
- นอกจากข้อดีก็มีข้อเสียคือ วิธีกินนี้ไม่สามารถใช้ในการเป็นโภชนาการสำหรับนักกีฬา หรือการันตีได้ว่าจะลดน้ำหนักในผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำได้100% เพราะความแตกต่างของสรีรวิทยาแต่ละคนไม่เท่ากัน Nutrition Target ก็ตอบโจทย์ไม่เท่ากับแบบแรก หากแบ่งอาหารตามปริมาณร่างกายไม่เหมาะสมตามที่ร่างกายควรได้รับมีโอกาสทุพโภชนาการได้ง่ายกว่า

ในอาหารที่เราทานไปถ้าเราเลือกทานเป็นก็สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าแบบอื่นเลยแต่สิ่งที่สำคัญคือ ทุกวิธีกินล้วนออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในความแตกต่างของ Lifestyle แต่เป้าหมายคือลดน้ำหนักทั้งนี้การเลือกวิธีกินควรเลือกวิธีกินที่เหมาะสมเพื่อลดน้ำหนักที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพที่สุดก็พอ
ติดตามเว็บไซต์การดูแลสุขภาพ
ข่าวสุขภาพที่น่าสนใจอาหารที่ช่วยลดน้ำหนัก ต้องบอกเลยว่าได้ผลดีและดีมาก ๆ ต่อสุขภาพอีกด้วย